สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การเรียน การทำงาน เศรษฐกิจ การเมือง ค่านิยม และวัฒนธรรม ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ทุกคนเกิดความเครียดได้
ผลสำรวจ “โครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย” พบว่านิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยมีความเครียดสะสมเพิ่มมากขึ้น เกือบร้อยละ 40 มีความเครียดบ่อยครั้งถึงตลอดเวลา และกว่าร้อยละ 4 ของนิสิตนักศึกษาทั้งหมด เคยคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้งถึงตลอดเวลา
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านธุรกิจการค้าและบริการ ที่มุ่งเน้นความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญด้วยแนวคิด Student Centered Learning ทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัยต้องเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ของนักศึกษา โดยปี 2565 ที่ผ่านมาได้มีการรีโนเวทพื้นที่แห่งการเรียนรู้ครั้งใหม่ ให้กลายเป็น Lifestyle & Learning Space สำหรับเด็กหัวการค้า ปรับมหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่แห่งความสุข
เริ่มต้นปีใหม่ 2566 ม.หอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจ ซึ่งเป็นงานวิจัยในเชิงปริมาณและคุณภาพเกี่ยวกับความสุขของนักศึกษาม.หอการค้าไทย พบว่า นักศึกษารู้สึกว่าตัวเองมีความสุข ค่าเฉลี่ย 8.41 เต็ม 10 และหลังจากผ่านพ้นโควิด -19 นักศึกษาส่วนใหญ่ยังคงต้องการมาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย
ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ม.หอการค้าไทย เล่าว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มหาวิทยาลัยต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนออนไลน์มากกว่าการเรียนการสอนตามปกติในมหาวิทยาลัย ทำให้นักศึกษาไม่ได้มาทำกิจกรรม หรือมาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ต่อมาเมื่อสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงน้อยลง มหาวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอน ซึ่งมีนักศึกษาทยอยกลับมาเรียนปกติ และพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ชอบใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
“ทางสภามหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีม.หอการค้าไทย จึงได้มีนโยบาย Happy U และให้โจทย์มาว่าต้องทำให้นักศึกษามีความสุข ทำให้นักศึกษาอยากมามหาวิทยาลัย อยากใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย 24 ชั่วโมง รวมถึงได้ให้ลองนำแนวคิด Happy Model ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมาประยุกต์ใช้” ดร.มานะ กล่าว
ระบบการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย องค์ความรู้ หลักสูตรคงไม่ได้แตกต่างกัน แต่การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่จะได้รับย่อมแตกต่างกัน Happy Model ของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะประกอบด้วย 4 ด้าน คือ กินดี อยู่ดี ออกกำลังกายดี และแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่ “Happy U” ของมหาวิทยาลัยซึ่งต้องการให้นักศึกษามีความสุข สิ่งแรกที่ดำเนินการ คือ การสอบถามความคิดเห็น รับฟังสิ่งที่นักศึกษาต้องการ
ความสุขนักศึกษากับผู้ใหญ่แตกต่างกัน
ดร.มานะ เล่าต่อว่าจากการสอบถามนักศึกษา เพื่อค้นหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรให้นักศึกษามีความสุขในมหาวิทยาลัย และเริ่มปรับเปลี่ยนบรรยากาศที่มีอยู่ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ พบว่า หลายๆ สิ่งที่นักศึกษาเขาอยากให้มหาวิทยาลัยมี อาทิ การติดกระจกเพื่อพวกเขาจะได้ใช้ซ้อมเต้น เพราะการจะไปซ้อมเต้นตามห้องซ้อมเต้นต่างๆ ต้องเสียเงินมาก เขาอยากให้มหาวิทยาลัยมีพื้นที่ซ้อมเต้นให้แก่เขา เป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยลงทุนไม่มาก แต่สร้างความสุขให้แก่นักศึกษาได้มหาศาล
ความสุขในมุมมองของผู้ใหญ่กับนักศึกษาอาจแตกต่างกัน หลายๆ อย่างที่ผู้ใหญ่คิดว่าดี แล้วพยายามยัดเยียดมอบให้แก่นักศึกษา เพราะมองว่าพวกเขาน่าจะมีความสุข นักศึกษาควรจะได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ รวมทั้งไปบังคับให้พวกเขาทำกิจกรรมต่างๆ แต่ในความเป็นจริงพวกเขาไม่อยากทำ
“โลกเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน ผู้ใหญ่จึงต้องเปิดใจรับฟังและทำความเข้าใจกับเด็กรุ่นใหม่ให้มากขึ้น หลายๆอย่างสะท้อนออกมาจากการสำรวจ จากการพูดคุยกับเด็กรุ่นใหม่ เราพบว่าจุดเล็กๆก็สามารถสร้างความสุขให้พวกเขาได้ แต่เรามักมองข้าม ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาที่ถนัดซ้าย เขาอยากได้โต๊ะเลคเชอร์สำหรับคนถนัดซ้าย หรือนักศึกษา Oversize เขาก็อยากได้โต๊ะที่เหมาะกับพวกเขา พอเราถอดรหัสความต้องการของนักศึกษาแม้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ เราก็รีบจัดเตรียมให้ทันที หรือแม้แต่นักศึกษากลุ่ม LGBTQ ที่เขาต้องการห้องน้ำที่ไม่ระบุเพศ มหาวิทยาลัยก็ได้มีการสร้างห้องน้ำ All Gender สำหรับพวกเขา” ดร.มานะ กล่าว
นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยยังให้อิสระในการแต่งตัว ทำสีผม รวมทั้งให้นักศึกษาได้เสนอในสิ่งที่พวกเขาอยากทำ เพราะการคัดเลือกกิจกรรม จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่นักศึกษาเสนอแล้วอยากทำ เช่น ชมรมคนรักแมว Cat Society ชมรมโหราศาสตร์ ฯลฯ และอีกกลุ่มจะเป็นกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยต้องการให้เด็กมีทักษะ แต่ทั้งนี้จะไม่เป็นการบังคับให้เข้าร่วม หากเปิดโครงการมาแล้วไม่มีเด็กสนใจจะปิด หรือปรับเปลี่ยนกิจกรรมนั้นได้ทันที
สร้าง Empathy ลดอคติ ตัดสินผู้อื่น
ดร.มานะ เล่าต่อว่ากรรมการสภามหาวิทยาลัยเน้นย้ำให้นักศึกษาทุกคนที่จบออกจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ต้องทำงานเป็น ฉะนั้น นักศึกษาจะไม่ได้เพียงเก่งทฤษฎี แต่ต้องลงมือปฎิบัติ และไม่ใช่มีเพียง Hard Skills เท่านั้น แต่ต้องมี Soft Skills ติดตัวร่วมด้วย ซึ่งการเพิ่ม Soft Skills ถือเป็นการพัฒนาทักษะการใช้ชีวิต การทำงานร่วมกับผู้อื่น
“การทำงานในยุคนี้จะเป็นการทำงานของคนหลากหลาย ไม่ว่าจะหลายวัย หลายเพศที่มีประสบการณ์ ความคิด ความเชื่อแตกต่างกัน ซึ่งสิ่งที่จะทำให้คนที่มีความคิด ค่านิยมหลากหลายสามารถทำงานร่วมกันได้ ต้องมีทักษะด้านการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะเรื่อง Empathy หรือการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และกิจกรรมนี้ ไม่ได้เกิดจากมหาวิทยาลัยคิดแล้วทำ แต่เกิดจากการทำ Focus Groups ไปพูดคุยกับนักศึกษาแล้วพบว่า ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม มุมมองต่อชีวิต สังคมและโลก รวมถึงการให้คุณค่าต่อการทำงานและเป้าหมายชีวิตของคนรุ่นนี้แตกต่างและแปลกแยกจากคนรุ่นก่อนๆอย่างสิ้นเชิง”ดร.มานะ กล่าว
ม.หอการค้าไทย ได้ร่วมกับธนาคารจิตอาสา จัดโปรเจค “Human Library” หรือ “อ่านมนุษย์” มุ่งเน้นพัฒนาทักษะด้าน Empathy โดยเป็นการฝึกอบรมในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของมนุษย์ ชวนผู้ที่มีความหลากหลายมาจับคู่นั่งคุย เพื่อทำให้เข้าใจกันได้อย่างเต็มที่ เพราะในสังคมไทยตอนนี้ ต้องยอมรับว่าหลายคนมักจะตัดสินผู้อื่นจากภายนอก บางคนมีรอยสักเต็มตัว หรือเป็นคนมุสลิมก็ไปเกรงกลัว หรือตัดสินพวกเขา ซึ่งจากการจัดกิจกรรมหลายครั้งที่ผ่านมา พบว่านักศึกษาที่เข้าร่วมเปิดใจยอมรับ เข้าใจมุมมอง และมีความสุขในเชิงร่างกาย จิตใจ และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
“Human Library” เป็นพื้นที่ให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจในตัวตนของผู้อื่น และตนเอง เป็น “หนังสือมนุษย์” ที่ผ่านการพูดคุยแบบเปิดใจ ช่วยลดอคติที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ลดการตัดสินผู้อื่น และพร้อมเข้าใจผู้อื่น อันนำไปสู่การทำงานร่วมกัน ใช้ชีวิตร่วมกันในสังคม
ทุกกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น จะมีการสื่อสาร สอบถามไปยังนักศึกษาว่าพวกเขาต้องการหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาหลายๆ กิจกรรมที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้น ได้รับความร่วมมือ ความสนใจจากนักศึกษา
เป็นพื้นที่ทดลองสร้างประสบการณ์ชีวิต
ดร.มานะ เล่าด้วยว่า หลายครั้งที่ผู้ใหญ่มักจะมองว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำ ทำเพื่อความสุข ทำเพื่อการเจริญเติบโตที่ดีของเด็ก แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ดีสำหรับเด็ก ต้องรับฟังในสิ่งที่เขากำลังสื่อสาร มหาวิทยาลัยต้องเป็นพื้นที่แห่งความสุข ความสบายใจแก่พวกเขา เพราะในสังคมข้างนอกเต็มไปด้วยวิกฤต อบายมุขมากมาย ล้วนทำให้เด็กเกิดความเครียด ม.หอการค้าไทย ได้มีนักจิตวิทยา ได้อบรมทำความเข้าใจกับผู้บริหาร คณาจารย์ในการรับฟัง เข้าใจความคิด ความแตกต่างระหว่างเด็กรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า
“เด็กรุ่นนี้ต้องการความเข้าใจ พวกเขาไม่ได้มองเรื่องถูกผิดแบบคนรุ่นเก่า มหาวิทยาลัยจึงต้องปรับตัว ให้นักศึกษาได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัยจะเป็นแหล่งเรียนรู้ ลองผิดลองถูกให้เขาผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรายวิชาในห้องเรียน รวมถึงกิจกรรมนอกห้องเรียน เพราะถ้าพวกเขาจบออกนอกรั้วมหาวิทยาลัยอาจจะไม่มีเบาะรองรับ ไม่มีผู้ใหญ่ ครูอาจารย์คอยให้คำแนะนำ ประสบการณ์ตลอด 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัยจะฝึกให้เขาแกร่ง เราอยากให้นักศึกษาฝึกฝน เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ ทำอย่างที่ตนเองต้องการ เดินตามความฝันและไปให้ถึงฝัน อย่าเลียนแบบคนอื่น ให้ทำในสิ่งที่จะช่วยพัฒนา เติมเต็มความสุขให้แก่ตนเอง” ดร.มานะ กล่าวทิ้งท้าย
อยากรู้ว่า ม.หอการค้าไทย จะเป็น Happy U ได้อย่างไร? สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ LINE Official : @utcc เว็บไซต์ www.utcc.ac.th หรือ โทร 02-697-6000 เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-17.00 น